บทที่ 13 กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา
ความรู้เกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญา
ทรัพย์สินทางปัญญาคือ
"ทรัพย์สินที่ไม่ใช่วัตถุทางกายภาพ แต่เจ้าของมีสิทธิโดยชอบธรรม ที่จะให้, ให้เช่า, โอนมอบอำนาจ, หรือใช้เป็นสินจำนองได้"
คำว่า "ทรัพย์สินทางปัญญา" เป็นคำที่แปลมาจาก ภาษาอังกฤษคำว่า
"intellectual property" ซึ่งทางทฤษฎีแยกเป็นงาน 2 กลุ่มด้วยกันคือ ทรัพย์สินทางอุสาหกรรม (industrial
property) กับ เป็นลิขสิทธิ์และสิทธิข้าเคียง (copyright
and neighbouring rights) ซึ่งทรพัย์สินทางอุตสาหกรรมได้แก่
เครื่องหมายการค้า ชื่อทางการค้า
สิ่งบ่งชี้ทางภูมิศาสตร์ที่แสดงถึงแหล่งกำเนิดของสินค้า
การออกแบบแผนผังภูมิของวงจรรวม ความลับทางการค้า สิทธิบัตร
ไม่ว่าจะเป็นสิทธบัตรการประดิษฐ์ สิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์
หรืออนุสิทธิบัตรการประดิษฐ์
ส่วนเรื่องลิขสิทธิ์และสิทธิข้างเคียง
จะเป็นงานทางด้านสุนทรียภาพ งานหลักก็คืองานวรรณกรรมกับงานศิลปกรรม
ลิขสิทธิ์ก็เหมือนทรัพย์สินทางปัญญาประเภทอื่นนั่นคือ
เป็นทรัพย์สินที่ไม่มีรูปร่าง สิ่งที่กฎหมายให้ความคุ้มครองก็คือ สิทธิ
สิทธิหลักคือสิทธิที่จะทำซ้ำหรือทำสำเนา สิทธิในทรัพย์สินที่มีรูปร่างจะมีประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
บรรพ 4 เรื่อง ทรัพย์สิน
วางหลักเกณฑ์ในการให้ความคุ้มครองไว้
แต่หลักเกณฑ์ดังกล่าวไม่อาจที่จะนำมาใช้บังคับแก่ทรัพย์สินทางปัญญาได้
ทรัพย์สินทางปัญญาต้องเป็นไปตามกฎหมายเฉพาะ
ลิขสิทธิ์ (Copyright)
(สิทธิในการเป็นเจ้าของความคิด ที่คิดค้นได้ โดยไม่จำเป็นต้องไปจดทะเบียน)
ลิขสิทธิ์เป็นทรัพย์สินทางปัญญา (intellectual
property) อย่างหนึ่ง
ทรัพย์สินทางปัญญามีลักษณะพิเศษแตกต่างไปจากทรัพย์สินที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
บรรพ 4 อันได้แก่
อสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์ กับสิทธิที่เกี่ยวกับทรัพย์สินดังกล่าว
ลิขสิทธิ์เป็นสิทธิที่ไม่มีรูปร่าง กล่าวคือ
เป็นสิทธิหวงกันของเจ้าของที่ได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย
เป็นสิทธิที่จะห้ามไม่ให้ผู้อื่นนำงานของเจ้าของไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
อันมิใช่สิทธิในกรรมสิทธิ์หรือสิทธิครอบครอง
ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
เป็นสิทธิที่กฎหมายให้แก่ผู้สร้างสรรค์งานหรือผู้เป็นเจ้าของงานอันมีลิขสิทธิ์เท่านั้น
ฉะนั้นผู้
เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในวัตถุมีรูปร่างจึงอาจจะไม่ใช่ผู้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ก็เป็นได้
เช่น นายสมซื้อหนังสือหรือ ภาพเขียนมา
นายสมก็มีเฉพาะกรรมสิทธ์ในหนังสือหรือภาพเขียนนั้นโดยนายสมมีสิทธิใช้สอยและจำหน่ายหนังสือ
หรือภาพเขียนนั้นได้
ตลอดจนมีสิทธิให้เช่าติดตามและเอาคืนจากบุคคลผู้ไม่มีสิทธิจะยึดถือไว้และมีสิทธิขัดขวางมิให้ผู้อื่นสอดเข้าเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินนั้นโดยมิชอบด้วยกฎหมายดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1336 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และแม้ไม่พอใจนายสมจะทิ้ง
เผาทำลายหนังสือหรือภาพเขียนนั้นก็ได้
แต่นายสมไม่มีสิทธิที่จะนำหนังสือนั้นไปพิมพ์ซ้ำแล้วขายต่อหรือนำภาพเขียนนั้นไปดัดแปลงเป็นบัตรอวยพร
ส.ค.ส. สำหรับวันขึ้นปีใหม่แล้วผลิตออกจำหน่าย
เพราะสิทธิดังกล่าวกฎหมายให้ไว้แก่ผู้สร้างสรรค์หรือผู้เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ในงานวรรณกรรม
จิตรกรรมหรือศิลปกรรมเท่านั้น
หากนายสมกระทำเช่นนั้นย่อมเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ของผู้อื่นได้
ลิขสิทธิ์ หมายถึง
สิทธิแต่เพียงผู้เดียวที่จะกระทำการใด ๆ
เกี่ยวกับงานที่ผู้สร้างสรรค์ได้ทำขึ้นโดยการแสดงออกตามประเภทงานลิขสิทธิ์ต่าง ๆ
ลิขสิทธิ์ เป็นผลงานที่เกิดจากการใช้สติปัญญา ความรู้
ความสามารถและความวิริยะอุตสาหะในการสร้างสรรค์งานให้เกิดขึ้น ซึ่งถือว่าเป็น “ ทรัพย์สินทางปัญญา ” ประเภทหนึ่งที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจ
ดังนั้น เจ้าของผลงานทางลิขสิทธิ์จึงควรได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย
ลิขสิทธิ์ เป็นทรัพย์สินประเภทที่สามารถ ซื้อ ขาย หรือโอนสิทธิกันได้
ทั้งทางมรดก หรือโดยวิธีอื่น ๆ การโอนสิทธิ์ควรที่จะทำเป็นลายลักษณ์อักษร
หรือทำเป็นสัญญาให้ชัดเจน จะโอนสิทธิทั้งหมดหรือเพียงบางส่วนก็ได้ งานสร้างสรรค์ที่มีลิขสิทธิ์
ประกอบด้วยประเภทงานต่าง ๆ ดังนี้
• งานวรรณกรรม เช่น หนังสือ จุลสาร สิ่งเขียน สิ่งพิมพ์ โปรแกรมคอมพิวเตอร์
• งานนาฎกรรม เช่น งานเกี่ยวกับการรำ การเต้น การทำท่าหรือ
การแสดงที่ประกอบขึ้นเป็นเรื่องราว การแสดงโดยวิธีใบ้
• งานศิลปกรรม เช่น งานทางด้านจิตรกรรม ประติมากรรม ภาพพิมพ์
สถาปัตยกรรมถ่ายภาพ ภาพประกอบแผนที่ โครงสร้าง ศิลปะประยุกต์
และรวมทั้งภาพถ่ายและแผนผังของงานดังกล่าวด้วย
• งานดนตรีกรรม เช่น ทำนองและเนื้อร้องหรือทำนองอย่างเดียว
และรวมถึงโน๊ตเพลงที่ได้แยกและเรียบเรียงเสียงประสานแล้ว
• งานโสตทัศนวัสดุ เช่น วีดีโอเทป แผ่นเลเซอร์ดิสก์ เป็นต้น
• งานภาพยนตร์
• งานสิ่งบันทึกเสียง เช่น เทปเพลง แผ่นคอมแพ็คดิสก์ เป็นต้น
• งานแพร่เสียงภาพ เช่น
การนำออกเผยแพร่ทางสถานีวิทยุกระจายเสียงหรือโทรทัศน์
• งานอื่นใดอันเป็นงานในแผนกวรรณคดี แผนกวิทยาศาสตร์ หรือแผนกศิลปะ
การได้มาซึ่งลิขสิทธิ์
สิทธิ์ในลิขสิทธิ์จะเกิดขึ้นโดยทันทีนับตั้งแต่ผู้สร้างสรรค์ได้สร้างสรรค์ผลงานโดยไม่ต้องจดทะเบียน
ดังนั้น เจ้าของลิขสิทธิ์จึงควรที่จะปกป้องคุ้มครองสิทธิของตนเอง
โดยการเก็บรวบรวมหลักฐานต่าง ๆ ที่ได้ทำการสร้างสรรค์ผลงานนั้นขึ้น
เพื่อประโยชน์ในการพิสูจน์สิทธิ หรือความเป็นเจ้าของในโอกาสต่อไป
เจ้าของลิขสิทธิ์
เจ้าของลิขสิทธิ์นอกจากจะเป็นผู้สร้างสรรค์งานแล้ว
บุคคลอื่นอาจจะมีลิขสิทธิ์ในงานที่สร้างสรรค์นั้นก็ได้
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงต่าง ๆ ในการได้มาซึ่งลิขสิทธิ์ เช่น
การสร้างสรรค์งานร่วมกัน การว่าจ้างให้สร้างสรรค์งาน การโอนสิทธิ์ในลิขสิทธิ์ เป็นต้น
ดังนั้น ผู้ที่มีลิขสิทธิ์จะเป็นบุคคลหรือกลุ่มบุคคลต่อไปนี้
• ผู้สร้างสรรค์งานขึ้นใหม่ที่สร้างสรรค์งานด้วยตนเองเพียงผู้เดียวหรือผู้สร้างสรรค์งานร่วมกัน
• ผู้สร้างสรรค์ในฐานะพนักงานหรือลูกจ้าง
• ผู้ว่าจ้าง
• ผู้รวบรวมหรือประกอบกันเข้า
• กระทรวง ทบวง กรม หรือหน่วยงานอื่นใดของรัฐหรือของท้องถิ่น
• ผู้รับโอนลิขสิทธิ์
• ผู้สร้างสรรค์ที่เป็นชนชาติภาคีอนุสัญญาระหว่างประเทศ เช่น
อนุสัญญากรุงเบอร์นและประเทศในภาคีสมาชิกองค์การการค้าโลก
• ผู้พิมพ์โฆษณางานที่ใช้นามแฝงหรือนามปากกาที่ไม่ปรากฏชื่อผู้สร้างสรรค์
การคุ้มครองลิขสิทธิ์
เจ้าของลิขสิทธิ์มีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวที่จะกระทำการใด
ๆ ต่องานอันมีลิขสิทธิ์ของตนดังนี้
• ทำซ้ำ หรือดัดแปลง
• การเผยแพร่ต่อสาธารณชน
• ให้เช่าต้นฉบับหรือสำเนางาน โปรแกรมคอมพิวเตอร์ โสตทัศนวัสดุ ภาพยนตร์
และสิ่งบันทึกเสียง
• ให้ประโยชน์อันเกิดจากลิขสิทธิ์แก่ผู้อื่น
• อนุญาตให้ผู้อื่นใช้สิทธิ์ในการเช่าซื้อ ดัดแปลง เผยแพร่ต่อสาธารณชน
และให้เช่าต้นฉบับ
อายุการคุ้มครอง
โดยทั่ว ๆ ไป การคุ้มครองลิขสิทธิ์
จะมีผลเกิดขึ้นโดยทันทีที่มีการสร้างสรรค์ผลงาน โดยความคุ้มครองนี้จะมีตลอดอายุของผู้สร้างสรรค์
และจะคุ้มครองต่อไปอีก 50 ปี
นับแต่ผู้สร้างสรรค์เสียชีวิต หากแต่มีงานบางประเภทจะมีอายุการคุ้มครองแตกต่างกัน
ประโยชน์ของลิขสิทธิ์
• ประโยชน์ของเจ้าของลิขสิทธิ์
เจ้าของลิขสิทธิ์ย่อมได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายลิขสิทธิ์และมีสิทธิแต่เพียงผู้เดียวที่จะกระทำการใด
ๆ เกี่ยวกับงานที่ผู้สร้างสรรค์ได้ทำขึ้น
หรือผลงานตามข้อใดข้อหนึ่งตามที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น ดังนั้นเจ้าของลิขสิทธ์จะมีสิทธิในการทำซ้ำดัดแปลง
จำหน่าย ให้เช่า คัดลอก เลียนแบบ ทำสำเนา การทำให้ปรากฏต่อสาธารณชน
หรืออนุญาตให้ผู้อื่นใช้ลิขสิทธิ์ของตนทั้งหมดหรือแต่บางส่วนก็ได้
โดยเจ้าของลิขสิทธิ์ย่อมได้รับค่าตอบแทนที่เป็นธรรม
• ประโยชน์ของประชาชนหรือผู้บริโภค
การคุ้มครองและพิทักษ์สิทธิในผลงานลิขสิทธิ์มีผลให้เกิดแรงจูงใจแก่ผู้สร้างสรรค์ผลงานที่จะสร้างสรรค์ผลงานที่มีประโยชน์
มีคุณค่าทางวรรณกรรมและศิลปกรรมออกสู่ตลาด ส่งผลให้ผู้บริโภคจะได้รับความรู้
ความบันเทิง และได้ใช้ผลงานที่มีคุณภาพ
การแจ้งข้อมูลลิขสิทธิ์
ลิขสิทธิ์
เป็นสิทธิที่เกิดขึ้นทันทีที่มีการสร้างสรรค์ผลงานโดยไม่ต้องจดทะเบียน
อย่างไรก็ตาม
กรมทรัพย์สินทางปัญญาได้ดำริให้มีการแจ้งข้อมูลลิขสิทธิ์เพื่อใช้เป็นฐานข้อมูลและรวบรวมข้อมูลเบื้องต้น
เกี่ยวกับลิขสิทธิ์ซึ่งจะเป็นองค์ประกอบหนึ่ง ในการพิทักษ์และคุ้มครองสิทธิของเจ้าของลิขสิทธิ์
นอกจากนี้แล้วยังเป็นแหล่งข้อมูลสำหรับผู้ต้องการขออนุญาตใช้
ลิขสิทธิ์สามารถตรวจค้นเพื่อประโยชน์ในการติดต่อธุรกิจกับเจ้าของลิขสิทธิ์ด้วย
การแจ้งข้อมูลลิขสิทธิ์
ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้ผู้แจ้งได้รับสิทธิในผลงานนั้น หรือเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์
ดังนั้นการแจ้งข้อมูลลิขสิทธิ์จะไม่ก่อให้เกิดสิทธิใด ๆ
เพิ่มขึ้นจากสิทธิที่มีอยู่เดิมของเจ้าของลิขสิทธิ์ที่แท้จริง
เอกสารและหลักฐานประกอบการแจ้งข้อมูลลิขสิทธิ์
• แบบพิมพ์คำขอแจ้งข้อมูลลิขสิทธิ์ จำนวน 2 ชุด
ซึ่งผู้แจ้งจะต้องกรอกรายละเอียดต่าง ๆ ให้ครบถ้วน เช่น ประเภทของงาน ชื่อผู้แจ้ง
ชื่อผู้สร้างสรรค์ สถานที่ติดต่อ ลักษณะของงาน วิธีการสร้างสรรค์ เป็นต้น
• หลักฐานอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน
หนังสือรับรองนิติบุคคล หนังสือมอบอำนาจ ( ถ้ามี ) เป็นต้น
• ผลงานลิขสิทธิ์ที่สร้างสรรค์ จำนวน 1 ชุด
โทษของการละเมิดลิขสิทธิ์
ในกรณีที่เราละเมิดลิขสิทธิ์ตาม พ.ร.บ. นี้ มีโทษปรับระหว่าง 20,000 - 200,000 บาท แต่ทว่าหากการละเมิดนั้นเป็นการกระทำเพื่อการค้า ปรับระหว่าง 100,000 - 800,000 บาท โทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 4 ปีหรือทั้งจำทั้งปรับ
ในกรณีที่เราละเมิดลิขสิทธิ์ตาม พ.ร.บ. นี้ มีโทษปรับระหว่าง 20,000 - 200,000 บาท แต่ทว่าหากการละเมิดนั้นเป็นการกระทำเพื่อการค้า ปรับระหว่าง 100,000 - 800,000 บาท โทษจำคุกตั้งแต่ 6 เดือน ถึง 4 ปีหรือทั้งจำทั้งปรับ
ส่วนคำว่า
"ผู้สร้างสรรค์" มีความหมายตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 ให้ความหมายไว้เพียงว่า
ผู้ทำหรือผู้ก่อให้เกิดงานสร้างสรรค์อย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นงานอันมีลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัตินี้เท่านั้น
สิทธบัตร (Patents)
(สิทธิในความเป็นเจ้าของความคิด หรือผลิตภัณฑ์ที่คิดค้นได้
แต่ทว่าจะต้องไปจดทะเบียนเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของเพื่อผลทางการค้าหรืออื่นๆ )
สิทธิบัตร เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่อยู่ใกล้ตัวทุก
คนมากที่สุด หรืออาจกล่าวได้ว่าสิทธิบัตรเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของทุก ๆ คน
คือ สิ่งของหรือเครื่องใช้ต่าง ๆ
ที่ใช้ในชีวิตประจำวันล้วนแล้วแต่่เป็นผลที่ได้จากการประดิษฐ์คิดค้นทั้งสิ้น เช่น
การพัฒนาเกี่ยวกับผงซักฟอกซึ่งปัจจุบันเป็นผงซักฟอกชนิดเข้มข้นและมีประสิทธิภาพในการซักล้างสูง
เป็นต้น ดังนั้น สิทธิบัตรจึงมีส่วนช่วยทำให้การดำรงชีวิตของมนุษย์มีความสะดวกสบาย
และมีความปลอดภัยมากขึ้น
สิทธิบัตร หมายถึง หนังสือสำคัญที่รัฐออกให้เพื่อคุ้มครองการประดิษฐ์ (Invention) การออกแบบผลิตภัณฑ์ (Product Design) หรือผลิตภัณฑ์อรรถประโยชน์
(Utility Model) ที่มีลักษณะตามที่กฎหมายกำหนด
- การประดิษฐ์ คือ
ความคิดสร้างสรรค์เกี่ยวกับลักษณะ องค์ประกอบ โครงสร้างหรือกลไกของผลิตภัณฑ์
รวมทั้งกรรมวิธีในการผลิต การรักษา
หรือปรับปรุงคุณภาพของผลิตภัณฑ์ให้ดีขึ้นหรือทำให้เกิดผลิตภัณฑ์ขึ้นใหม่ที่แตกต่างไปจากเดิม
ตัวอย่างสิทธิบัตรการประดิษฐ์
สิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์เป็นการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่
คือเป็นการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ยังไม่มีใช้แพร่หลายในประเทศ
หรือยังไม่เปิดเผยสาระสำคัญหรือรายละเอียดก่อนวันขอรับสิทธิบัตร
หรือไม่คล้ายกับแบบผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่แล้ว เพื่ออุตสาหกรรมหรือหัตถกรรม
ตัวอย่างสิทธิบัตรการออกแบบผลิตภัณฑ์
ผลงานหรือสิ่งประดิษฐ์ที่สามารถยื่นจดสิทธิบัตรได้จะต้องมีลักษณะดังนี้
1. เป็นการประดิษฐ์ขึ้นใหม่
2. เป็นการประดิษฐ์มีขั้นการประดิษฐ์สูงขึ้น
3. เป็นการประดิษฐ์ที่สามารถประยุกต์ในทางอุตสาหกรรม เกษตรกรรม พาณิชยกรรม หรือหัตถกรรมได้
กรณีที่เป็นการออกแบบผลิตภัณฑ์จะขอรับสิทธิได้ต้องเป็นการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่ออุตสาหกรรม
หรือหัตถกรรม คือ เป็นการออกแบบผลิตภัณฑ์ที่ยังไม่มีใช้แพร่หลายในประเทศ
ซึ่งรวมถึงการขายด้วยหรือยัง ไม่เคยเปิดเผยสาระสำคัญหรือรายละเอียดในเอกสารหรือสิ่งพิมพ์ ก่อนวันขอรับสิทธิบัตร
หรือไม่คล้ายกับแบบผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่แล้ว
สิ่งที่จดสิทธิบัตรไม่ได้ ได้แก่
1.จุลชีพและส่วนประกอบส่วนใดส่วนหนึ่งของจุลชีพที่มีตามธรรมชาติ สัตว์ พืช
หรือสารสกัดที่ได้จากสัตว์และพืช ซึ่งถือเป็นการค้นพบเท่านั้น
แต่ในกรณีที่นำไปผสมกับสารหรือส่วนประกอบอื่น สามารถที่จะขอจดสิทธิบัตรได้
2.กฎเกณฑ์และทฤษฏีทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์
3.ระบบข้อมูลสำหรับการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์
4.วิธีการวินิจฉัย บำบัด หรือรักษาโรคมนุษย์หรือสัตว์
5.การประดิษฐ์ที่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดี
อนามัยหรือสวัสดิภาพของประชาชน
การเตรียมคำขอรับสิทธิบัตรการประดิษฐ์ /
อนุสิทธิบัตร
1. แบบพิมพ์คำขอรับสิทธิบัตรและเอกสารประกอบ
1. แบบพิมพ์คำขอรับสิทธิบัตรและเอกสารประกอบ
1.1 เอกสารหลักฐานแสดงสิทธิขอรับสิทธิบัตร
1.2 เอกสารหลักฐานการมอบอำนาจให้ตัวแทนเป็นผู้กระทำการแทน
2. รายละเอียดการประดิษฐ์ ประกอบด้วยหัวข้อดังต่อไปนี้
2.1 ชื่อที่แสดงถึงการประดิษฐ์
2.2 ลักษณะและความมุ่งหมายของการประดิษฐ์
2.3 สาขาวิทยาการที่เกี่ยวข้องกับการประดิษฐ์
2.4 ภูมิหลังของศิลปวิทยาการที่เกี่ยวข้อง
2.5 การเปิดเผยการประดิษฐ์โดยสมบูรณ์
2.6 คำอธิบายรูปเขียนโดยย่อ ( ถ้ามี )
2.7 วิธีการประดิษฐ์ที่ดีที่สุด
3. ข้อถือสิทธิ
4. บทสรุปการประดิษฐ์
5. รูปเขียน ( ถ้ามี )

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น