บทที่ 3 กฎหมายว่าด้วยนิติกรรม
กฎหมายลักษณะนิติกรรม
นิติกรรม หมายถึง การใดๆอันกระทำลงชอบโดยกฎหมายและด้วยใจสมัคร
มุ่งโดยต่อการผูกนิติสัมพันธ์ขึ้นระหว่างบุคคล เพื่อจะก่อ เปลี่ยนแปลง โอน สงวน
หรือ ระงับซึ่งสิทธิ เช่น การทำพินัยกรรม การรับบุตรบุญธรรม การปลดหนี้ เป็นต้น
นิติกรรม กับ นิติเหตุ
ทั้งนิติกรรมและนิติเหตุต่างก็เป็นมูลเหตุแห่งความสัมพันธ์ทางกฎหมายทั้งสิ้น
แต่จะมีข้อแตกต่างคือ
นิติกรรม เกิดจากความสมัครใจของบุคคลที่จะผูกพันตามกฎหมาย เช่นการทำสัญญา การสมรส
นิติเหตุ เป็นสิ่งที่บุคคลมิได้สมัครใจที่จะผูกพันกับบุคคลอื่นแต่เพราะมีเหตุการณ์หรือการกระทำบางอย่างเกิดขึ้น
ซึ่งกฎหมายกำหนดให้บุคคลเหล่านั้นมีความผูกพันกัน
แม้ใจจริงเขาจะอยากมีความผูกพันหรือไม่ก็ตาม
นิติกรรมมีอยู่
2 ชนิดคือ
1. นิติกรรมฝ่ายเดียว คือ
นิติกรรมที่ผู้กระทำสามารถทำได้โดนฝ่ายเดียวโดยไม่ต้องอาศัยบุคคลอื่นให้มีปฏิกิริยากลับมา
เช่น การทำคำเสนอ การให้คำมั่น การบอกล้างโมฆียกรรม การบอกเลิกสัญญา เป็นต้น
2. นิติกรรม 2 ฝ่าย คือ นิติกรรมที่ต้องอาศัยการมีปฎิกิริยาระหว่างบุคคลผู้ทำนิติกรรมและผู้รับการกระทำ
นิติกรรมจึงจะมีผล นิติกรรม 2 ฝ่ายเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า“สัญญา”
ความสมบูรณ์ของนิติกรรม
1. นิติกรรมที่สมบูรณ์
คือ นิติกรรมที่มีผลผูกพันตามกฎหมาย
2. นิติกรรมที่ไม่สมบูรณ์
แบ่งออกเป็น 2 ประเภทได้แก่
2.1 โมฆะกรรม หรือ นิติกรรมที่เป็นโมฆะ คือ นิติกรรมเสียเปล่า ใช้ไม่ได้มาตั้งแต่ต้น ผู้กระทำย่อมไม่มีความผูกพันตามกฎหมายอย่างใดทั้งสิ้น
2.1 โมฆะกรรม หรือ นิติกรรมที่เป็นโมฆะ คือ นิติกรรมเสียเปล่า ใช้ไม่ได้มาตั้งแต่ต้น ผู้กระทำย่อมไม่มีความผูกพันตามกฎหมายอย่างใดทั้งสิ้น
2.2 โมฆียกรรม หรือ
นิติกรรมที่เป็นโมฆียกรรม คือนิติกรรมที่มีข้อบกพร่องซึ่งอาจมีการบอกล้างหรือมีการให้สัตยาบันในภายหลัง
>>> ถ้ามีการบอกล้าง = นิติกรรมจะกลายเป็นโมฆะแต่ต้น
>>>ถ้ามีการให้สัตยาบัน = นิติกรรมก็จะกลายเป็นนิติกรรมที่สมบูรณ์
ในระหว่างที่ยังไม่ได้มีการบอกล้างหรือให้สัตยาบันนิติกรรมที่เป็นโมฆียะนิติกรรมนั้นก็ยังคงสามารถบังคับตามกฎหมายได้
เหตุที่ทำให้นิติกรรมไม่สมบูรณ์
ก)เหตุที่ทำให้นิติกรรมเป็นโมฆะ ที่สำคัญมีอยู่ 7 ประการ ได้แก่
1. นิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย เช่น สัญญาซื้อขายยาบ้า
สัญญารับจ้างฆ่าคน
2. นิติกรรมที่เป็นการพ้นวิสัย เช่น จ้างแท็กซี่ให้ไปส่งที่ดวงจันทร์
3. นิติกรรมที่เป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน เช่น
การทำสัญญาตกลงอยู่กินกันฉันสามีภริยาสามคน
4.นิติกรรมที่ไม่ทำตามแบบที่กฎหมายกำหนด
แบบของนิติกรรม คือการที่กฎหมายกำหนดไว้ว่า
หากจะทำนิติกรรมประเภทนี้ จะต้องมีวิธีการทำให้เหมือนกับที่กฎหมายกำหนดไว้ ; วิธีการที่กฎหมายกำหนดไว้ให้ทำตาม ก็คือแบบนั่นเอง
แบบของนิติกรรมมีหลายแบบ แล้วแต่ว่านิติกรรมชนิดนั้นจะกำหนดไว้เช่นไร เช่น
-การซื้อขายอสังหาริมทรัพย์และสังหาริมทรัพย์บางชนิด กฏหมายกำหนด แบบไว้คือ ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนกับพนักงานเจ้าหน้าที่
-การจำนอง แบบคือ
ต้องทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนกับพนักงานเจ้าหน้าที่
-การเช่าซื้อ แบบคือ
ต้องทำเป็นหนังสือ
-การจัดตั้งบริษัท แบบคือ ต้องจดทะเบียนต่อเจ้าหน้าที่
-การสมรส แบบคือ
ต้องจดทะเบียนสมรส
5. การแสดงเจตนาลวง คือการสมรู้ ร่วมคิดกับคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่ง โดยทำนิติกรรมเพื่อแสดงออกต่อบุคคลภายนอกแต่ในใจจริงมิได้มุ่งประสงค์ตามนั้น
6.นิติกรรมอำพราง คือ การที่บุคคลทำนิติกรรมขึ้นมา2 อย่าง
โดยอย่างหนึ่งเป็นนิติกรรมที่ไม่ได้มีเจตนาที่จะทำกันจริงๆ (แสดงเจตนาลวง)
แต่เป็นนิติกรรมที่แสดงออกให้บุคคลภายนอกเห็นและมีนิติกรรมอีกอันหนึ่งที่แอบทำกันลับๆ
ซึ่งประสงค์จะผูกพันกันจริง นิติกรรมที่ทำขึ้นมาบังหน้า เรียกว่านิติกรรมอำพราง
ตกเป็นโมฆะนิติกรรมที่แอบซ่อนเอาไว้ เรียกว่า นิติกรรมที่ถูกอำพราง มีผลสมบูรณ์
7.การแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในสาระสำคัญ ได้
-สำคัญผิดในลักษณะของนิติกรรม
-สำคัญผิดในตัวบุคคลที่เป็นคู่กรณี
-สำคัญผิดในทรัพย์อันเป็นวัตถุแห่งนิติกรรม
ข)เหตุที่ทำให้นิติกรรมเป็นโมฆียะ
ที่สำคัญมีอยู่ 4 ประการ ได้แก่
1. นิติกรรมที่ผู้เยาว์ คนไร้ความสามารถ หรือคนเสมือนไร้ความสามารถ
กระทำลงโดยปราศจากความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม ผู้อนุบาล ผู้พิทักษ์ แล้วแต่กรณี
2.การแสดงเจตนาโดยสำคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคลหรือทรัพย์สิน
3.การแสดงเจตนาเพราะถูกกลฉ้อฉล คือ การแสดงเจตนาเพราะถูกหลอก
4. การแสดงเจตนาเพราะถูกข่มขู่
ระยะเวลาในการบอกล้างหรือให้สัตยาบัน
การบอกล้างหรือให้สัตยาบันนั้นมิใช่ว่าจะสามารถทำเมื่อไรก็ได้
กฎหมายจะกำหนดระยะเวลาเอาไว้ ถ้าเลยจากที่กฎหมายกำหนด
ก็จะไม่สามารถทำได้ระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดไว้คือ “ ไม่เกิน 1 ปี นับตั้งแต่วันที่รู้เหตุแห่งความเป็นโมฆียะนั้น แต่ต้องไม่เกิน 10 ปี นับตั้งแต่วันทำนิติกรรม ”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น